วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

===> หลุมดำ สัตว์ร้ายในอวกาศ <===


         ความเวิ้งว่างเปล่าเหนือหัวคนเราขึ้นไปนั้น เป็นเอกภพมหามหึมาอันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเหลือสติปัญญาที่จะหยั่งคะเนได้ สถานที่อันไร้อาณาเขตนี้นั้นก็ประกอบด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ที่คุมกันหลวมๆ เป็นจักรวาลและจักรวาลน้อยใหญ่ก็มีอยู่เหลือคณานับ เคลื่อนคล้อยในเอกภพอันไร้ขอบเขตด้วยจำนวนอันไร้ปริมาณ

         ธรรมชาติมิได้สร้างความเรียบร้อยสวยงามให้ปรากฏขึ้นอย่างเดียว แต่ธรรมชาตินี่แหละที่ก็ได้สร้างความเหี้ยมเกรียม ความหายนะให้เกิดควบคู่กันไปด้วย ใครจะคิดได้
ว่า อันดวงดาวทั้งปวงที่เห็นดารดาษบนท้องฟ้านั้น คืออาหารอันโอชะของเจ้าสัตว์ร้ายพวกหนึ่งที่คอยจ้องเขมือบดาวเหล่านี้ให้สูญหายไป ตราบใดก็ตามที่ดาวน้อยใหญ่ทั้งหลายเผลอเรอหลงเข้าไปในแวดวงที่มัน “
อาศัย” อยู่?
         สัตว์ร้ายที่ว่านี้ นักวิทยาศาสตร์บนดาวเล็กๆ ดวงที่เรียกว่าโลกนี้เขาตั้งชื่อมันเอาไว้ว่า “แบล็ค โฮล” หรือแปลกันง่ายๆ คือ “หลุมดำ
        ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับแต่ปี พ.ศ. 2513 นั้น นักวิทยาศาสตร์สาขาดาราศาสตร์ทั้งหลายก็พากันบอกเป็นเสียงเดียวว่า เจ้าสิ่งที่เรียกว่าหลุมดำหรือแบล็ค โฮลนั้นได้จัดการออกล่าเหยื่อเขมือบดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าไปแล้วมากต่อมาก และหลังจากเขมือบดาวเหล่านี้ไปชั่วระยะหนึ่งแล้ว มันก็หยุดการล่าเหยื่อของมันไปชั่วระยะหนึ่ง
        ช่วงที่แบล็ค โฮลอยู่เฉยๆ ไม่อนาทรคันปากคันคอจะกินดาวอย่างที่เคยนั้น นักดาราศาสตร์นั่นแหละที่เขาบอกว่ามันกำลังขอเวลาสำหรับ “ย่อย” ดาวที่เป็นอาหารของมันอยู่ มาถึงตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้าสังเกตสังเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ กำลังร้องบอกว่าเจ้าหลุมดำ หรือแบล็ค โฮลนี้ เริ่มต้นที่จะออกล่าเขมือบดวงดาวใหม่แล้วแต่โชคดีที่ว่าโลกเรานั้นยังอยู่ไกลมากจากถิ่นที่สัตว์ร้ายแห่งเอกภพนี้มันสิงสถิตอยู่ ไม่เช่นนั้นสักวันหนึ่งโลกใบนี้ ก็คงถูกมันเขมือบ และจัดการย่อยอร่อยปากอร่อยกระเพาะมันไปเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม วันสุดท้ายของโลกและสุริยจักรวาลนั้นก็ยังมีโอกาสมาถึงเหมือนกัน เพราะดวงดาวเพื่อนบ้านตลอดจนถึงดวงอาทิตย์ อาจจะถือว่าสุริยจักรวาลทั้งระบบนั้นกำลังค่อยๆ ถูกดูดให้เข้าไปหาเจ้าแบล็ค โฮลนี้ทีละน้อยๆ แต่ว่าเรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจขนข้าวของอพยพกันหรอกนะครับ เพราะนักดาราศาสตร์กล่าวว่า อีกอย่างน้อยๆ ก็นับสิบๆ ล้านปีนั่นแหละกว่าที่โลกจะกลายเป็นเหยื่อเจ้าสัตว์ร้ายแห่งเอกภพ เวลาป่านนั้นเราจะตายไปเกิดที่ไหนอีกกี่สิบกี่ร้อยหรือกี่ล้านชาติก็ไม่รู้
         ปรากฎการณ์สัตว์ร้ายแห่งเอกภพหรือหลุมดำนี้อาจจะมีมานานนับร้อยพันหมื่นล้านปีมาแล้ว แต่ก็เพิ่งเป็นที่ประจักษ์กันในหมู่มนุษย์เพียงไม่นานมานี้ ก็เมื่อคนเรามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สามารถพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้รอบตัวให้ทันสมัยสมใจนึกมากขึ้น เพราะความก้าวหน้านี้เอง ที่ทำให้เราได้มองเห็นเจ้าสัตว์ร้ายนี้ ด้วยความรู้จากสมมติฐานกลายไปเป็นทฤษฎี
         เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2451 หรือ 81 ปีมาแล้ว มีปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่บริเวณทุ่งทุงกัสทางตอนกลางของไซบีเรีย ปรากฏการณ์นี้ได้แก่การระเบิดเสียงกึกก้องกลางอากาศ และมีการสั่นสะเทือนอย่างมหาศาลของแผ่นดินบริเวณนั้นและในอาณาเขตรัศมีหลายร้อยกิโลเมตรโดยรอบ บรรดาผู้ที่อาศัยในละแวกทุงกัสนั้นต่างให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะเกิดการระเบิดนั้นพวกตนแสบตาจ้าไปหมดด้วยแสงอันขาวนวลอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แสงนั้นทำให้ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องสว่างนั้นมืดมิดไปชั่วขณะ และเกิด “เสาไฟมหึมา” พลุ่งขึ้นมาจากพื้นโลก
         เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังคงปรากฎอยู่ในทุ่งทุงกัสแม้จนกระทั่งวันนี้อันเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม คือ สภาพหงิกงอของไม้ไร่ในป่าแถบนั้น กระหย่อยใหญ่เหมือนกับถูกมือยักษ์ทึ้งและเผาราบ ไม้ใหญ่น้อยนี้ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ก็ไม่มีไม้ต้นใหม่เกิดขึ้นนักวิทยาศาสตร์ได้บุกบั่นเข้าไปทำการสำรวจค้นคว้าบริเวณนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่มีใครลงมติเห็นพ้องกันว่าสาเหตุของปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ว่าจะเห็นตรงกันว่ามันเป็นหายนะที่มาจากฟากฟ้าเหนือหัว
         สาเหตุที่เกิดการทำลายป่าครั้งใหญ่ และสิ่งประหลาดที่ชาวทุงกัสยุคนั้นได้พบเห็นชนิดตายไปก็ยังลืมไม่ลงนั้นยังมีการโต้แย้งต่างๆนานา อะไรเกิดขึ้นที่ไซบีเรียครั้งนั้นตอนนี้สามารถแยกสาเหตุออกไปได้คือ ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นผลจากการที่สะเก็ดดาวขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งหล่นเข้ามาอยู่ในปริมณฑลแรงดึงดูดของโลก แล้วก็เลยถูกดูดลงมาถล่มเอาบริเวณดังกล่าว เหตุผลหนึ่งไปไกลกว่านั่นคือเชื่อว่าอาจจะมีมนุษย์ต่างดาวนำยานของตนมาฉวัดเฉวียนทำนองสำรวจโลกพระเคราะห์ที่มนุษย์อาศัยอยู่ และให้เกิดอุบัติเหตุเชื้อเพลิงคือพลังนิวเคลียร์ในยานลำนั้นแผลงฤทธิ์ปึงปังออกมา มันก็เท่ากับการหยอดระเบิดนิวเคลียร์ลงไปบนทุ่งทุงกัสที่ว่าทำให้แหลกลาญไปหมด
          แต่ทฤษฎีล่าสุดที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งไว้สำหรับกรณีลึกลับแห่งทุง่ทุงกัสนี้คือ อาจจะเป็นไปได้ที่โลกเจอเข้ากับรายการ “แทะเล็ม” ของปรากฎการณ์ชนิดหนึ่ง ที่เพิ่งจะมีการค้นพบกันไม่นานมานี้ที่เผอิญเป็นปรากฎการณ์ระดับไม้จิ้มฟันของเอกภพ นั่นคือผลจากการอาละวาดของเจ้าแบล็ค โฮล
         เรื่องนี้ก็อาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “อภินิหารเจ้าหลุมดำ”
         หลุมดำหรือแบล็ค โฮลนี้เป็นภาพที่มองไม่เห็นในเอกภพ แต่ว่ามันสัมผัสได้ด้วยการสังเกตได้ด้วยผลที่บังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวของมัน ก็คือการหายไปของดาวต่างๆ ที่กล้องโทรทัศน์จากผิวโลกมองออกมาและบันทึกเอาไว้เปรียบเทียบกัน แสดงถึงอำนาจอันมหาศาลของเจ้าตัวร้ายแห่งเอกภพ
         ในปี พ.ศ. 2447 เอฟ.ดับเบิลยู เบสเซล นักดาราศาสตร์สำคัญคนหนึ่งแห่งหอดูดาวคอนิกบูร์ก ของปรัสเซียปัจจุบันคือหอดูดาวแห่งคาลินนินกราด สหภาพโซเวียตได้เฝ้าสังเกตดาวฤกษ์สำคัญดวงหนึ่งที่รู้จักกันมากแต่สมัยดบราร ก็คือซิริอุส หรือดาวหมาที่ชาวไอยคุปต์ถือเป็นดาวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล และพบโดยบังเอิญว่าดาวซิริอุสนี้มิได้เดินไปตามที่ตามทางของมัน หากแต่ดูเหมือนคล้ายกับว่ากำลังอยู่ในวิถีที่จะหลับอะไรสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็น
         นักดาราศาสตร์รุ่นหลังจากเบสเซลได้ติดตามสานต่องานของเขาและพบว่า ใกล้เคียงกับดาวซิริอุสนั้น มีดาวดวงหนึ่งขนาดเล็กกว่ากำลังมีแสงริบหรี่ลงไปกว่าปกติแต่ในไม่นานหลังจากนั้น มันก็ส่งแสงสว่างจ้าข่มดาวซิริอุสซึ่งว่าสว่างแล้ว เป็นปรากฎการณ์ต่อเนื่องอยู่หลายปี แล้วจากนั้นมันก็หายไปจากกล้องโทรทัศน์ หลังจากที่มันหายไปแล้วนั่นเอง ปรากฏว่าจำนวนดาวน้อยๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในละแวกที่อยู่ใกล้เคียงกับดาวที่หายไปนั้นลดลงเรื่อยๆ และก็ทรงตัวอยู่ชั่วระยะหนึ่งจากนั้นก็ลดจำนวนลงไปอีก
จนละแวดนั้นนอกจากดาวซิริอุสแล้ว เป็นที่เวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากดาว เหมือนกับใครไปถอนหญ้าในแปลงเล็กๆ เสียเตียน
         ปรากฏการณ์ที่รวบรวมได้จากการสังเกตนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้นำมาศึกษาวิจัยกันแล้ว และพบว่าเป็นกำเนิดของหลุมดำหรือสัตว์ร้ายแห่งเอกภพอันเนื่องจากการถึงแก่กาลอวสานของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่
         มีการเอากรณีปรากฎการณ์ประหลาดที่ไซบีเรียครั้งนั้นมาพิจารณาประกอบด้วย นักเคมีชาวอเมริกันนายหนึ่ง ก็คือ วิลลาร์ด ลิบบี้ อดีตสมาชิกของคณะกรรมการพลังงานปรมาณูของสหรัฐ ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในฐานะค้นพบวิธีการตรวจสอบอายุของสสารด้วย ระบบกัมมันตรังสีคาร์บอน ได้ร่วมกับพรรคพวกอีกสองคนทำการทดลองพบว่า การเคลื่อนไหวของสิ่งสองสิ่งในอวกาศคือสสารกับตัวต้านสสารนั้น ทำให้เกิดพลังงานอย่างใหญ่หลวงมหาศาล และปรากฎการณ์นี้อาจจะเป็นไปได้เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเฉียดเข้ามา ใกล้และถูกโลกดึงลงมาแผลงฤทธิ์กันบนทุ่งไซบีเรีย
         แต่ว่าสิ่งที่เรารู้กันในทุกวันนี้เกี่ยวกับอสูรร้ายในเอกภพคือ แบล็ค โฮลนั้น มันเกิดขึ้นจากผลของการที่แก๊สในดาวฤกษ์ซึ่งมีกลุ่มก้อนมหึมาเกิดการหลอมตัวของนิวเคลียร์เข้าด้วยกัน เป็นลักษณะของการแปลงธาตุจากธาตุหนึ่งไปยังอีกธาตุหนึ่ง โดยเฉพาะจากไฮโดรเยนเป็นฮีเลียม การแปลงธาตุจากการหลอมตัวของนิวเคลียสนี้ผลพวงที่แนบมาด้วยก็คือพลังงานความ ร้อนที่เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ที่มนุษย์สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แรงที่สุด
         พลังงานมหาศาลที่มีทั้งความร้อนระคนปนเข้ากับแสงและรังสีอื่นๆ อันเกิดจากการหลอมตัวแปลงธาตุนี้จะผลักดันปรมาณูและอณูต่างๆ ออกจากกัน แต่ในเวลาเดียวกับที่มีแรงผลักดันปรมาณูออกจากกันนี้ก็พลอยหมดไปตามไปด้วย คงเหลือแต่แรงดึงดูดให้ปรมาณูวิ่งเข้ามากันอยู่แรงเดียว
         เมื่อมีแต่แรงดึงปรมาณูเข้าหากันอยู่แต่ลูกเดียวเช่นนี้ ดาวฤกษ์ที่ดันเผาไหม้ตัวเองขึ้นมานั้นก็จะเริ่มหดตัวเล็กลงกว่าขนาดของเดิม และก็หดตัวลงไปเรื่อย แต่ว่าจะหดใหญ่เล็กแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าดาวฤกษ์ดวงเดิมนั้นมันใหญ่โตแค่ไหน ดาวฤกษ์ขนาดย่อมๆ หน่อยก็จะหดตัวมาเป็นดาวฤกษ์นิวตรอน ซึ่งในตัวของมันนั้นก็จะประกอบด้วยสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “สารควบแน่น” และสารควบแน่นพวกนี้จะเป็นสสารที่ไม่มีอนุภาคไฟฟ้าอยู่ในตัวเหมือนกับสสารทั่วไป นั่นเองที่เขาเรียกมันว่า “นิวตรอน” หรือ “สารเป็นกลาง”
         แต่ที่น่าทึ่งและมหัศจรรย์ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์เขาว่ากันไว้นั้นก็คือ เจ้าสารควบแน่นนี้ปริมาณเพียงแค่หัวไม้ขีดเท่านั้นมันจะหนักเป็นพันล้านตัน หรืออีกนัยหนึ่งหนักยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยหรือเขาพระสุเมรุเสียอีก
         แต่ดาวฤกษ์ที่เอาแต่หดตัวไปนั้นก็ไม่ได้หยุดหดไปแม้แต่น้อย คงทำการก้มหน้าก้มตาลดขนาดของมันด้วยการหดต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ไม่มีขนาด ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากสภาพใหม่ที่มองไม่เห็น และที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า “หลุมดำ” หรือ “แบล็ค โฮล” นั่นแหละ
         ทั้งหมดนี้ออกจะเป็นเรื่องฟังหนักสมองเอาสักหน่อยแต่นี่ขนาดผมพยายามเรียบ เรียงเอาคำอธิบายของนักวิทยาศาสตร์ไต่บันไดลงมาถึงพื้นให้ท่านผู้อ่านพอเข้า ใจแล้วนะครับ มันเป็นศาสตร์ในเรื่องกฎของฟิสิกส์ที่เขาว่าเอาไว้ แค่ถอดเอามาง่ายๆ ผมยังต้องนอนก่ายหน้าผากอยู่หลายตลบกว่าจะออกมาเขียนได้อย่างนี้
         ก็นักวิทยาศาสตร์นั่นแหละที่ว่าไว้ว่า เจ้าหลุมดำอินวิซิเบิ้ลตัวนี่แหละที่มันมีสนามแม่เหล็กอยู่สูงมหาศาล อำนาจทางแม่เหล็กของมันนี่เองที่เที่ยวไปดูดดาวที่มันผ่านเข้าไปใกล้เคียง เข้าไปหามัน และก็จัดการเขมือบดาวนั้นๆ เข้าตัวมันหายวับไป เหมือนกับเป็นอาหารโอชะแล้วเมื่อดาวทั้งหลายถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำนั้นก็ ยิ่งจะไปเพิ่มแรงดึงดูดให้กับเจ้าตัวหลุมดำจอมเขมือบนี้มากขึ้นไปอีก
         พฤติการณ์ของเจ้าหลุมดำนี้แหละที่เห็นๆ กันว่าเปรียบเสมือนสัตว์ร้ายที่ซุ่มอยู่ในกาแลกซี่ของเรา และบางทีอาจจะอยู่ในกาแลกซี่อื่นๆ อีกหมื่นล้านอสงไขยในความเวิ้งว้างหาที่สิ้นสุดมิได้ของจักรวาล
         ถึงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์อเมริกากันกำลังบอกว่าเจ้าหลุมดำที่หยุดนิ่งย่อยอาหารดาวที่มันก้มหน้าเขมือบไปพักหนึ่งนั้น เริ่มขยับเขยื้อนท้องร้องขึ้นมาแล้ว และก็กำลังเริ่มเขมือบดาวฤกษ์ที่ตุปัดตุเป๋เข้าไปใกล้ๆ มันเป็นอาหารอีกครั้งหนึ่ง ฟังแล้วก็น่าขนหัวลุก
         หลุมดำนี้มันคืออะไรกันแน่ เราเห็นจะต้องรอไปสักปีสองปีอาจจะรู้จักมันมากกว่าที่รู้อยู่แล้ว เพราะจากวิทยาการที่ก้าวหน้ามากขึ้น เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ขณะนี้นักดาราศาสตร์สามารถที่จะส่งกล้องส่องดาวหรือกล้องโทรทัศน์ออกไปเล็งดูกันได้นอกโลกแล้ว โดยฝากไปกับบัลลูนที่ส่งขึ้นไปโคจรในอวกาศแล้วส่งภาพข้อมูลต่างๆ กลับมาดูกันเพื่อตัดสินกันให้แน่ชัดว่าเจ้าจอมเขมือบนี้มันคืออะไรกันแน่

===> ปริศนาภาพวาดโมนา ลิซ่า (Mona Lisa) <===

       กว่า 500 ปีมากแล้วกับคำถามที่ว่า โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) นั่นเป็นใคร ซึ่งยังเป็นปริศนา และยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและแน่นอน ว่าบุคคลในภาพเขียนของ ลีโอนาร์
โด ดา วินซี่ (Leonardo da vin Ci 1452-1519) คือใครกันแน่ ภาพนี้วาดขึ้นราวๆ ค.ศ. 1503-1506 โดยแฝงรอยยิ้มที่ลึกลับ น่าเคลือบแคลง ไปด้วยปริศนามากมายลง
บนใบหน้าของ โมนา ลิซ่า ให้ผู้คนได้นึกคิด จินตนาการกันไปต่างๆ นานา ยาวนานถึง 5 ศตวรรษ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน คำถามที่ผู้คนสงสัย และได้ค้นคว้าหาคำตอบกันอย่างมากมาย ก็คือ โมนา ลิซ่า คือใคร?
         ตามคำบอกเล่าของ "จิออร์โอ วาซารี" (Giorgio Vasari 1511-1574) จิตรกร สถาปนิก และ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะในสมัยนั้น เขากล่าวไว้ว่า โมนา ลิซ่า ก็คือภรรยาของ ฟรานเชสโก เดล จิโอกอนโด ซึ่งเป็นพ่อค้าไหมที่มั่งคั่งแห่ง เมืองฟลอเรนซ์ ขณะที่ ดาวินซี่ เขียนภาพนี้ซึ่งได้ใช้เวลานานถึง 4 ปี เขาได้ไปว่าจ้าง นักร้อง นักดนตรี และตัวตลกมาให้ความบันเทิงแก่หญิงงามผู้เป็นแบบของ ภาพเขียน เพื่อให้เธอมีรอยยิ้มที่ปราศจากความเศร้าหมอง อย่างไรก็ตามจากคำ บรรยายของ วาซารี ก็เป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่ไม่เคยเห็นภาพเขียนนี้ของ ลีโอนาร์โด แต่อย่างใด
         จากหลักฐานอีกแหล่งหนึ่งจาก "อันโตนิโอ เดอ เบอาทิส" ผู้บันทึกปากคำของ ลีโอนาร์โดใน ค.ศ. 1517 ว่าผู้เป็นแบบในภาพคือสตรีชาว ฟลอเรนซ์ และ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ เป็นผู้ว่าจ้างให้เขียนภาพนี้ จากการที่ ไม่มีหลักฐานปรากฎที่แน่ชัดว่า ใครเป็นแบบให้กับ ลีโอนาร์โดวาดภาพนี้ จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันไป ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะ -เป็น บุคคลใน ภาพอาจเป็น คอนสตันซ่า คาวารอส หรืออาจจะเป็น อิสซาเบลลา เดสเต ผู้อื้อฉาว หรืออาจเป็นภรรยาลับของ จูลีอาโน เดอ เมดิซี่ ทั้งนี้ ก็เพราะได้ปรากฎว่า มีโม
นา ลิซ่า (เปลือย) หลายภาพในศตวรรษที่ 16 ซึ่งเป็น ที่โด่งดังมากกับภาพเปลือยของสาวผู้นี้
         นอกจากนี้จากการที่ลีโอนาร์โดเองมีชื่อที่ถูกกล่าวขานกันว่าเขาเป็นพวก รักร่วมเพศ จึงเกิดการสันนิษฐานว่า โมนา ลิซ่า ไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นภาพเหมือนจำแลง เพศของเด็กหนุ่มรูปงามคนใดคนหนึ่ง ซึ่งศิลปินมักเลี้ยงไว้ติดสอยห้อยตามในสตูดิโอ บ้างก็มีการนำภาพเหมือนของ ลีโอนาร์โดมามาเปรียบเทียบกับภาพของ โมนา ลิซ่า แล้วก็สรุปเอาดื้อๆว่าภาพเขียนอันลือชื่อนี้แท้ที่จริงคือ ภาพของ ลีโอนาร์โด ดาวิน ซี่ เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สนับสนุนทฤษีนี้ยังกล่าวเสริม ต่อไปว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า คือลายเซ็นลับของ ดาวินซี่เอง เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire)
         แม้ว่าบุคคลในภาพ โมนา ลิซ่า ยังเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ครอบครองภาพนี้ยังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง นั่นก็คือ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ลีโอนาร์โด ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้ และเขาได้นำติดตัวพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆที่เขารัก หวงแหน ออกจากกรุงโรมเมื่อครั้งเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปินแห่งราชสำนักของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 (ค.ศ. 1479-1547) ใน ค.ศ. 1517 ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งโปรดให้นำภาพไปประดับที่ห้องสรงในพระ
ราชวัง ฟองแตนโบล แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทม และมีชื่อเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"
         มุมมอง ทัศนะคติ และ ความคิดเห็นความรู้สึก ต่างๆ ที่มีต่อ Mona Lisa นั้นมีมากมายเหลือเกิน "จูลส์ มิเชอเลต์" ได้พรรณนาไว้ใน หนังสือประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสว่า "ภาพเขียนนี้ดึงดูดข้าพเจ้า พรํ่าเรียกข้าพเจ้า รุกรานข้าพเจ้า ซึมซาบเข้าไปในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตรงลิ่วเข้าไปหาโดยไม่รู้สึกตัว ประดุจนกบินดิ่งเข้าไปในปากงูพิษ" นี่คือทัศ-
นคติต่อ Mona Lisa ในศตวรรษที่ 16 ที่มองความงามในแบบอุดมคติ แต่มุมมองจากนักวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 กลับมองไปอีกด้านหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรแมนติคส์ที่มองว่า โมนา ลิซ่า เป็นสตรีมรณะ (Femme fatale) หรืออีกนัยหนึ่งคือสตรีผู้ยื่นความตายแก่บุรุษ
         สำหรับ เธโอฟิล โกติเอร์ (Theophile Gautier) โมนา ลิซ่า มิได้เป็นสาวน้อยที่มี รอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบ ตามที่วาซารีเคยพรรณนาไว้แต่จะเป็นสาววัย สามสิบที่ร่องรอยแห่งเลือดฝาด และความสดใสแห่งชีวิตเริ่มที่จะอันตรธานหายไป สีของอาภรณ์ และผ้าคลุมผมของเธอ ซึ่งหมองคลํ้าเพราะกาลเวลา ทำให้เธอดูเหมือนหญิง หม้ายที่แฝงไว้ด้วยความทุกข์โศก
         อันที่จริงแล้ว ลักษณะรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า ที่มีการตีความไปต่างๆนานานั้น สามารถ พบเห็นได้ในภาพเขียนอื่นๆของ ดาวินซี่ เองเช่น รอยยิ้มที่แฝงความอ่อนโยนและการุณย์ ของเซนต์แอนน์ หรือพระแม่มารี หรือแม้กระทั่งรูปปั้นในยุคโบราณของกรีก ในศตรวรรษที่ 19 มีผู้เห็นว่าภายใต้รอยยิ้มยากที่จะหยั่งลึกของ โมนา ลิซ่า นี้กลับแฝงไว้ด้วย ปริศนาอมตะ แห่งอิสตรี ส่วนนักจิตวิเคราะห์อย่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund freud) ก็ตีความหมายว่า "ลีโอนาร์โดหลงไหลรอยยิ้มของ โมนา ลิซ่า" เพราะมันคือสิ่งที่หลับไหล ภายในจิตใจ และความทรงจำในอดีตของเขาที่ผ่านมานานแล้ว รอยยิ้มนี้ถอดแบบพิมพ์ มาจากคาเตรีนาผู้ที่เป็นมารดา สำหรับนักสุนทรียศาสตร์อย่าง วอลเทอร์ เพ
เทอร์ (Walter Pater) พรรณนาไว้ว่า "เธอมีอายุแกกว่าหินผาที่ห้อมล้อมเธอ ประดุจหนึ่งปีศาจดูดเลือด เธอได้ตายมาแล้วหลายคราและหยั่งรู้ความลึกลับแห่งหลุมศพ"
         พอมาถึงต้นศตรวรรษที่ 20 ผู้คนรุ่นใหม่ๆ เกือบที่จะไม่ได้แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และทัศนคติต่อโมนา ลิซ่า เสียแล้ว เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1911 ในเวลา เช้าตรู่ข่าวการโจรกรรมภาพ Mona Lisa ออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ปรากฎต่อมวลชน ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอ และจับกลุมผู้โจรกรรมได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ปรากฎว่าคนที่โจร- กรรมโมนา ลิซ่าไป ก็คือคนที่ทำความสะอาดในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง สถานที่ค้นพบ โมนา ลิซ่า นั้นก็คือเมือง ฟลอเรนซ์บ้านเกิดของเธอนั่นเอง ในปัจจุบันนี้โมนาลิซ่าได้รับการ ทะนุถนอมเป็นอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศและกันกระสุน ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถลักพาตัวเธอได้อีกต่อไป มีสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ ตั้งแต่การหายลึกลับของ โมนา ลิซ่าเป็นระยะเวลายาวนานในคราวนั้น มีผู้ที่ไปดูโมนา ลิซ่าบางคนบอกว่า รอยยิ้มของเธอนั้นเปลี่ยนไป โดยที่ตั้งข้อสงสัยว่า เธออาจไม่ใช่ โมนา ลิซ่า ตัวจริง
         เมื่อปี ค.ศ. 1974 โมนาลิซ่าถูกนำไปแสดงที่กรุง มอสโก และโตเกียว โดยเฉพาะที่ โตเกียวมีผู้คนมาเข้าแถวชมเพื่อยลโฉมเธอถึง 2 ล้านคนในช่วงเวลาแค่ 3 เดือน

===> ปริศนาสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา <===

   
        เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และ สาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า สาหร่ายซากัสซั่ม โดยสาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และเหตุ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณที่เคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก
    
     ท้องทะลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด - เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณา
เขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ
ภูเขาทะเล
ดย ภูเขาทะเลก็คือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธใดๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์
        เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือ เรือจะถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่ บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็น พวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ ก็เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือ รอยแกะสลักบนแผ่นหินของพวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า
เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วย
สาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์ ท้องทะเลบางแห่งก็ตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาด
มหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา

เรือกูดนิว ซึ่งเป็นเรือลากจูงเครื่องดีเซล ซึ่งได้ทำสงครามชักคะเยอ กับพลังลึกลับในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา และสามารถรอดพ้นอันตรายมาได้
ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
          สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา-และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม เบอร์มิวดายังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่
          เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าว-ทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุก
รายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า
ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่นไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้


เครื่องบินแบบเดียวกับเครื่องบินทั้ง 5 ลำ ของฝูงบินที่ 19 ที่หายสาบสูญไปทั้งฝูง พร้อมทั้งชีวิตนักบินและพลเรือนประจำ
เครื่องรวม 14 นาย ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 1945

เครื่องบินแบบ kc 135 ของกองทัพอากาศสหรัฐได้หายไป 2 เครื่องในเวลาเดียวกันเมื่อเดิน สิงหาคม 1963
          อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลวที่จะพบพยานหลักฐานซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยา-
ยามจะปกปิด เรื่อราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่างๆ และเชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆนี้ได้มีข่าวรายงานว่ามีนักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของสาม -
เหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้
แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้
วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลักการ
          ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง
         ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและ -
แหล่งหินประการัง
มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วย -กระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว
          อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุตกลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ ก็เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว
         ปรากฏารณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ รผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า "แค๊ท (Cat - clear air turbulenec)" โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำใน-บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบ แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป
          การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย-หรือทราบสาเหตุของมันได้